ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก มิถุนายน, 2015

มีรถ(ลด)หรือมีเงิน

หลังจากที่เล่นดนตรีเสร็จผมได้พูดคุยกับเพื่อนซึ่งจะได้มาเล่นดนตรีกันเกือบทุกสัปดาห์   ก่อนกลับก็ได้พูดคุยกันหลายเรื่อง ทั้งเรื่อง มันถามผมว่า “ มึงชอบอะไรเป็นพิเศษ ” ผมไม่ได้ตอบคำถามมัน แต่ในใจก็คิดว่า ไม่รู้เหมือนกัน และก็ได้คุยถึงเรื่องรถมันบอกว่ามันอยากมีรถ ผมก็ได้แนะนำว่าให้ในเย็น ๆ มันมีค่าใช้จ่ายแอบแฝงเยอะ รอดูไปก่อน ผมก็บ่นให้มันฟังว่ามีรถแล้วมีแต่หนี้ ค่าใช้จ่าย นั้นนี้เยอะแยะ มันก็โชว์รูปสมุดบัญชีของมัน(เพือนผม)ให้ดู มันบอกว่าเก็บมานาน เมื่อผมเห็นตัวเลขผมคิดในใจว่า ดูเหมือนว่าเพื่อนผมมันจะไม่มีอะไรแต่มันก็มีเงินเก็บ ซึ่งพอ ๆ กับราคารถของผม และผมได้ย้อนมองดูตัวเองพบว่า ผมมีรถ แต่ ไม่มีเงิน และเพื่อนผม มีเงิน แต่ไม่มีรถ   สมมุติว่า ถ้าผมไม่ได้ซื้อรถ ผมคงจะมีเงินเก็บอยู่พอสมควรแต่ก็ไม่มีรถขับอยู่ดี แต่มันก็จำเป็นอยู่ดีถ้าไม่มีรถจะไปไหนก็ลำบาก ผมยอมรับเลยว่า กูนับถือมึงเลย ขนาดกูยังเก็บเงินอย่างมึงไม่ได้(ผมคิดในใจว่ามันต้องอดทนมากถึงเก็บเงินได้ขนาดนี้) มันก็บอกว่าทุกคนต้อง สู้นะแหละ ถ้าเพื่อนผมมันซื้อรถเงินมันก็หมดเหมือนกัน สรุปคือ สถานะการณ์ตอนนี้ มีรถแต่ไม่มีเงิน แต่ถ้าจะใ

ละคร

ผมมีโอกาส ได้ดูละครในช่วงค่ำของวันหนึ่ง ทำให้นึกถึงสภาพสังคมทุกวันนี้ว่านี้เป็นสาเหตุหนึ่งของความรุนแรง การตบตี แย่งชิง และอีกต่าง ๆ นา ๆ ที่ค่อย ๆ ซึมซาบเข้าสู่สมองของเราทุกวันโดยที่เราไม่รู้ตัว ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นและกลายเป็นเรื่องปกติ ในละครเรื่องที่ผมดูนี้มีอยู่หลายฉากด้วยกันที่ผมดูแล้ว รู้สึกว่าขัดกับความรู้สึก คือตอนที่มี ฉากลูกทำร้ายพ่อฆ่าพ่อของตัวเอง จับคนมาเรียกค่าไถ่ พบได้เงินค่าไถ่แล้วก็ฆ่าตัวประกันเสีย และฉากลูกขโมยเงินพ่อด้วยการเผาบ้านแล้วแอบหยิบเงินแล้วหนีไป ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในละคร ซึ่งบางคนดูผ่าน ๆ ก็อาจจะรู้สึกว่ามันเป็นแค่ละคนไม่ใช่เรื่องจริง ดูเอามัน อย่างเดียวไม่ต้องคิดอะไรก็ได้ ในความคิดของผม คิดว่าถ้าหากว่าเด็กเยาวชนได้มาดูช่วงแรกก็อาจไม่มีอะไรแต่ดูทุกวันเข้ามันก็เกินการซึมซาบ ความคิดการกระทำเข้ามาโดยไม่รู้ตัว อาจทำให้เกิดปัญหาสังคมตามมาอีกมากมาย